ไข่พะโล้สูตรโบราณ รสเด็ด ทำกินก็ได้ทำขายก็ขายดี
เมนูอาหารไข่พะโล้ เป็นอีกหนึ่งเมนูที่คนไทยนิยมทานกันมากชนิดที่ว่าร้านข้าวแกงแทบทุกร้านต้องมีเมนูไข่พะโล้ไว้ขายการทำพะโล้ให้อร่อยนั้นไม่ใช่เรื่องยากหากรู้วิธีและเคล็ดลับสำหรับการทำไข่พะโล้แบบสูตรโบราณนั้นจะให้ความหอมอร่อยเข้มข้นถึงเครื่องมากกว่าการใช้ผงพะโล้สำเร็จรูปทานแล้วจะรู้สึกชัดเจนเลยว่าน้ำแกงจะเข้ากันดีกับเนื้อและไข่สำหรับสูตรที่ครัวแซ่บเวอร์ดอทคอมนำมาแนะนำในวันนี้รับรองว่าอร่อยเด็ดชนิดที่สามารถทำขายได้เลยทีเดียว
ไข่พะโล้สูตรโบราณสูตรที่1
- หมูสามชั้นหรือสันคอติดมัน
- ไข่ไก่ต้ม/ไข่เป็ดต้มปอกเปลือก5ฟอง
- ข่าหั่นเป็นแว่นประมาณ20แว่น
- กระเทียมตำละเอียด1กำมือ
- รากผักชีโขลกละเอียด
- พริกไทเม็ดตำละเอียดประมาณ1ช้อนชา
- ซีอิ๊วดำ2ช้อนโต๊ะ
- เกลือ
- น้ำตาลทรายแดง
- ผักชี
- น้ำเปล่า2ถ้วยตวง
- นำทุกอย่างลงหม้อแล้วจึงใส่น้ำเปล่า2ถ้วยตวงใส่ซีอิ๊วดำลงไปประมาณ2ช้อนโต๊ะเคี่ยวพอเดือดและมีกลิ่นหอม
- แล้วใส่หมูสามชั้นลงไปถ้าน้ำไม่ท่วมหมูเติมน้ำเพิ่มได้
- เมื่อต้มจนหมูสุกแล้วก็เติมน้ำลงไปอีกปรุงรสด้วยใส่เกลือหรืออาจใส่ผงปรุงรส(รสดี)ลงไปด้วยก็ได้และใส่น้ำตาลทรายแดงลงไปชิมรสให้รสออกหวานนำ
- พอเดือดก็ใส่ไข่ต้มลงไปและต้องให้น้ำท่วมไข่ด้วย
- เคี่ยวต่อไปจนกระทั่งหมูเปื่อยจึงใส่ผักชีลงไปปิดไฟตักใส่ชามพร้อมเสิร์ฟ
- ถ้าอยากให้ไข่มีสีน้ำตาลเข้มในขั้นตอนที่1คือเคี่ยวน้ำให้ใส่ซีอิ๊วดำลงไปก่อนเลย
เครื่องปรุง
- ไข่เป็ดหรือไข่ไก่12ฟอง
- หมูสามชั้นหรือสันคอติดมัน(หั่นเป็นชิ้นพอคำหรือชิ้นใหญ่ตามชอบ)500กรัม
- เต้าหู้ขาว(แผ่น4เหลี่ยมจตุรัส)1แผ่น
- สามเกลอ1ช้อนโต๊ะ(กระเทียมไทยเม็ดเล็ก10-15กลีบ+พริกไทย1ช้อนชารากผักชี7-8รากตำละเอียด)
- อบเชย2ก้าน
- โป๊ยกั๊ก8-10ดอก
- น้ำตาลปี๊บ2ทัพพี
- เกลือ,ซีอิ๊วขาว
- น้ำมันพืชสำหรับผัดเครื่องเทศ1ช้อนโต๊ะ
- น้ำเปล่า1.5-2ลิตร
วิธีทำ
1.เตรียมส่วนผสมไว้ให้พร้อม
- ต้มไข่ให้สุกโดยตอนต้มใส่เกลือลงไปเล็กน้อยที่ไฟแรงประมาณ10นาทีหรือจนไข่สุกนำไปแช่น้ำเย็นทันทีแล้วแกะเปลือกออกพักไว้
- ล้างหมูสามชั้นให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นหนาขนาดพอดีคำหรือชิ้นใหญ่ตามต้องการ
- นำเต้าหู้มาหั่นชิ้นพอดีคำแล้วทอดให้เหลืองกรอบพักไว้
- ดอกจันทน์(โป๊ยกั๊ก)กับอบเชยที่เตรียมไว้นำมาห่อผ้าแล้วมัดให้แน่นหรือใช้เป็นถุงชาก็สะดวกดีเวลาต้มจะได้ไม่ลอยหน้า
- น้ำตาลปี๊บควรใส่ถ้วยเตรียมไว้ถ้าใช้เป็นน้ำตาลปี๊บหรือน้ำตาลปึกที่มันแข็งมากๆควรนำออกมาทุบให้แตกสักหน่อยก่อนไม่อย่างนั้นจะลำบากตอนผัดเครื่อง
3.ตั้งกระทะใช้ไฟปานกลางใส่น้ำมันพืชนำสามเกลอลงไปผัดให้หอม(ยิ่งใส่รากผักชีเยอะๆจะยิ่งหอมชวนกิน)หมั่นคนและระวังอย่าใช้ไฟแรงเกินไปเพราะมันจะไหม้ทำให้กลิ่นเพี้ยนไป
4.ใส่น้ำตาลปิ๊บลงไปผัดให้เป็นสีน้ำตาลเข้มด้วยไฟปานกลาง(ต้องผัดเรื่อยๆห้ามหยุดมือเด็ดขาดไม่งั้นน้ำตาลจะไหม้)ผัดจนได้สีน้ำตาลเข้มจัดอย่างที่ต้องการแบบนี้
7.ใส่เต้าหู้หั่นชิ้นลงไป(จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ตามชอบเลย)
9.ปรุงรสตามชอบหรือชิมรสให้ออกหวานนำเค็มตาม…สูตรเดิมของแม่จะปรุงรสด้วยเกลืออย่างเดียวแต่หมูแดงชอบกลิ่นของซีอิ๊วขาวก็เลยปรับสูตรของแม่นิดหน่อยโดยใช้ซีอิ๊วขาวตราเด็กสมบูรณ์มาเป็นตัวชูรสด้วยใส่ลงไป2ทัพพี(ควรใส่ไปทีละน้อยๆรสอ่อนไปยังเติมได้อีกแต่ถ้าใส่ไปเยอะๆคราวเดียวจะแก้ไม่ได้)ตามด้วยใส่เกลือลงไป1ช้อนชาพอชิมรสได้ที่แล้วก็ปิดฝาหม้อ
•ตรงนี้มีเทคนิคมาแนะนำ:สำหรับคนที่ชอบกินไข่พะโล้ค้างคืนแบบไข่ขาวเนื้อเด้งๆก็ไม่ต้องเคี่ยวนานแต่เราจะเอาพะโล้ตั้งไฟแรงๆประมาณ15นาทีแล้วปิดไฟปิดฝาหม้ออบไข่พะโล้ทิ้งไว้อย่างนั้นเลยแล้ววันรุ่งขึ้นเอามาอุ่นอีกทีถ้าหมูยังไม่เปื่อยมากนักเราก็เคี่ยวต่ออีกหน่อยก็จะได้ไข่พะโล้ที่เนื้อไข่ขาวเด้งๆอย่างต้องการ
พะโล้ขาหมูคุณหมูแดงเอาขาหมูมาเลาะกระดูกออกหั่นเป็นชิ้นโตหน่อยต้มน้ำทิ้ง1ครั้งแต่ไม่ต้องเคี่ยวแค่ต้มให้เดือดแล้วเทน้ำทิ้งล้างให้สะอาดแล้วเอามาทำพะโล้
เคล็ดลับเพิ่มเติมวิธีทำไข่พะโล้ให้อร่อย
- วิธีทำไข่พะโล้สูตรโบราณคืออยู่ที่การผัดเครื่องให้ถึงแล้วเคี่ยวน้ำตาลให้ได้สีสวยเคลือบหมูและไข่ไข่พะโล้ที่ได้จึงหอมน้ำตาลเคี่ยวรสชาติออกหวานนำเค็มตามยิ่งเคี่ยวยิ่งอร่อยโดยเฉพาะเมื่อเราทิ้งไว้ข้ามคืนก็จะได้ไข่ขาวเนื้อแน่นๆเด้งๆอย่างที่ต้องการ
- ไข่พะโล้ต้องตุ๋นต่ออย่างน้อย45นาทีเพื่อให้เนื้อหมูนิ่มน้ำพะโล้เข้มข้นและเข้าเนื้อไข่ไม่เช่นนั้นจะได้ไข่พะโล้รสจืดเหมือนขาดอะไรไปซักอย่าง
- หมูสามชั้นควรเลือกหมูที่มีเนื้อมากกว่ามันหมูไข่พะโล้จะได้ไม่เลี่ยนเกินไปหรือจะใช้เนื้อส่วนขาหมูก็ได้ถ้าชอบถ้าอยากใส่ไก่แนะนำให้ใช้ส่วนปีกไก่เป็นปีกบนหรือปีกปลายก็ได้เพราะตุ๋นนานๆแล้วเนื้อนุ่มอร่อยส่วนอกไก่และสะโพกจะแห้งไม่อร่อยถ้าไม่อยากใส่เนื้อสัตว์เลยจะใส่แต่เต้าหู้อย่างเดียวก็ได้
- ถ้าใครไม่มีน้ำตาลปี๊บใช้น้ำตาลทรายแดงหรือน้ำตาลทรายขาวแทนก็ได้แต่ถ้าหาน้ำตาลปี๊บได้ก็จะดีเพราะรสชาติหวานนุ่มนวลและกลิ่นหอมกว่าน้ำตาลทรายส่วนน้ำตาลทรายขาวจะหวานแหลม
- ไม่ควรใส่น้ำปลาเพราะจะทำให้มีกลิ่นคาว
- การใส่เกลือนิดหน่อยลงไปในครกเวลาโขลกเครื่องเทศเพื่อช่วยให้ตำได้ละเอียดเร็วขึ้นเพราะความคมของเม็ดเกลือจะช่วยให้ตำง่ายขึ้น
ที่มา:Zabwer
เมนูอื่นๆที่น่าสนใจ